การประเมินประเด็นที่มีนัยสำคัญด้านความยั่งยืน
และการสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้เสีย
เส้นทางความยั่งยืนของกลุ่มเอสซีบีเอกซ์ เริ่มต้นจากการวิเคราะห์ ‘ผลกระทบ’ ของการดำเนินธุรกิจต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยพิจารณาผลกระทบเชิงลบและบวก ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ครอบคลุมทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยกระบวนการประเมินประเด็นที่มีนัยสำคัญของกลุ่มเอสซีบีเอกซ์ ในปี 2567 ได้ดำเนินการตามมาตรฐาน Global Reporting Initiative (GRI) Standards อีกทั้งยังบูรณาการแนวคิด Double Materiality ซึ่งนำเสนอโดย The European Commission ด้วย
สำหรับการประเมินประเด็นที่มีนัยสำคัญในรูปแบบ Double Materiality มิได้พิจารณาเพียง ‘ผลกระทบ’ จากกิจกรรมทางธุรกิจของกลุ่มเอสซีบีเอกซ์ ที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมเท่านั้น (‘Inside-Out’ หรือ ‘Impact Materiality’) หากยังพิจารณา ‘ผลกระทบ’ จากประเด็นที่มีนัยสำคัญด้านความยั่งยืนต่อมิติด้านการเงินของกลุ่มเอสซีบีเอกซ์ (‘Outside-In’ หรือ ‘Financial Materiality’) ซึ่งเป็นแนวทางที่ช่วยให้บริษัทมองเห็นภาพรวมความเสี่ยงทั้งทางการเงินและที่ไม่ใช่การเงิน เพิ่มความโปร่งใสและความรับผิดชอบ ตลอดจนสนองตอบความสนใจของนักลงทุน ลูกค้า และผู้มีส่วนได้เสียที่ให้ความสำคัญกับด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) โดยในปี 2567 เอสซีบีเอกซ์ สามารถระบุประเด็นที่มีนัยสำคัญด้านความยั่งยืนได้ทั้งหมด 15 ประเด็น โดยมี 2 ประเด็นใหม่ที่ถูกนำเสนอเพิ่มเติมจากผลการประเมินและการทบทวนในปี 2565 และ 2566
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทได้พิจารณาอนุมัติประเด็นที่มีนัยสำคัญด้านความยั่งยืน และเอสซีบีเอกซ์ อยู่ระหว่างการทบทวนและพัฒนากรอบยุทธศาสตร์ด้านความยั่งยืนที่สอดคล้องกับผลการประเมินประเด็นที่มีนัยสำคัญล่าสุด พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนความยั่งยืนอย่างเต็มประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลสูงุสุดทั่วทั้งกลุ่มเอสซีบีเอกซ์
กระบวนการประเมิน Double Materiality

วิเคราะห์ประเด็นความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่คุณค่า ร่วมกับการวิเคราะห์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญและอุตสาหกรรมที่ใกล้เคียง

วิเคราะห์ประเด็นที่สำคัญต่อผู้มีส่วนได้เสียทั้งภายในและภายนอก ได้แก่ ลูกค้า พนักงาน หน่วยงานกำกับดูแล นักลงทุน คู่ธุรกิจ คู่ค้า และภาคประชาสังคม ครอบคลุมผลกระทบที่เกิดขึ้นและที่อาจเกิดขึ้น ผลกระทบเชิงบวกและลบ รวมถึงความเสี่ยงและโอกาส ผ่านการสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้เสีย

วิเคราะห์ความสอดคล้องของกรอบการบริหารจัดการความเสี่ยงองค์กรและทิศทางกลยุทธ์ของเอสซีบี เอกซ์ เพื่อเข้าใจถึงความสำคัญ ความรุนแรง โอกาสที่จะเกิด ตลอดจนระดับและขอบเขตของผลกระทบ ความเสี่ยง และโอกาส

ประเมินและจัดลำดับความสำคัญของประเด็น ESG โดยพิจารณาทั้งมิติ ‘Impact Materiality’ และ ‘Financial Materiality’ พร้อมนำผลการประเมินให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบให้ความคิดเห็นและคณะกรรมการบริษัท และ/หรือ ผู้บริหารระดับสูงอนุมัติ
ผลการประเมินประเด็นด้าน ESG ที่มีนัยสำคัญ

หมายเหตุ:
* ประเด็นทั้งหมดจัดเรียงตามตัวอักษร มิใช่ตามลำดับความสำคัญ
การรับรองโดยหน่วยงานภายนอก
เพื่อให้มั่นใจว่ากระบวนการประเมินประเด็นความยั่งยืนที่มีนัยสำคัญของกลุ่มเอสซีบี เอกซ์ สอดคล้อง ครบถ้วน และถูกต้องตามมาตรฐาน Global Reporting Initiative (GRI) รวมถึงแนวคิด Double Materiality ซึ่งนำเสนอโดย The European Commission เอสซีบี เอกซ์ จึงได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานตรวจรับรองภายนอกเพื่อให้ความเชื่อมั่นอย่างเป็นอิสระสำหรับกระบวนการประเมินประเด็นความยั่งยืนที่มีนัยสำคัญ
การประเมินมูลค่าผลกระทบทางธุรกิจ (Impact Valuation)
การประเมินมูลค่าผลกระทบทางธุรกิจช่วยให้องค์กรเข้าใจและจัดการผลกระทบจากการดำเนินงานที่ส่งผลต่อความเป็นอยู่ที่ดีของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและสิ่งแวดล้อม ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจที่สร้างคุณค่าให้กับทุกภาคส่วน ไม่เพียงเฉพาะผู้ถือหุ้นเท่านั้น โดยการประเมินมูลค่าผลกระทบทางธุรกิจได้รับความสนใจมากขึ้นในยุคแห่งทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholder Capitalism) ด้วยเล็งเห็นว่าเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่สามารถเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ ควบคู่ไปกับการจัดการความท้าทายทางสังคมและสิ่งแวดล้อม
สำหรับกลุ่มเอสซีบี เอกซ์ การประเมินมูลค่าผลกระทบทางธุรกิจนำมาซึ่งข้อมูลอันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนายุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการผลกระทบเชิงลบ พร้อมแสวงหาโอกาสในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกัน ยังช่วยเสริมสร้างความสามารถของกลุ่มเอสซีบี เอกซ์ ในการรับมือกับความท้าทายสู่การปรับตัวได้อย่างเท่าทันด้วย