
จากอดีตถึงปัจจุบัน วิวัฒนาการด้านเทคโนโลยีการเงิน หรือ FinTech ในประเทศไทยมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด เริ่มมาตั้งแต่ช่วงประมาณปี 2558–2559 ที่มีการเปิดตัวระบบการชำระเงินแบบพร้อมเพย์ ที่ต้องอาศัยการผูกบัญชีเข้ากับเลขบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อใช้ในการทำธุรกรรมออนไลน์ด้วยการแสกนจ่ายผ่าน QR Code หรือแม้แต่การเปิดตัวระบบ E-Wallet หรือกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ที่เชื่อมกับบัญชีธนาคารหรือบัตรเครดิต/เดบิต คอยอำนวยความสะดวกการซื้อ โอน จ่ายค่าสินค้าหรือบริการในรูปแบบออนไลน์ ต่อมาเทคโนโลยีด้านการเงินก็ถูกนำพัฒนาเป็นรูปแบบ Embedded finance หรือการนำบริการทางการเงินไปฝังไว้ตามแอปพลิเคชันหรือแพลตฟอร์มที่ไม่ใช่สถาบันการเงินโดยตรง เพื่อส่งเสริมให้การทำธุรกรรมเป็นไปอย่างคล่องตัวมากขึ้น โดยไม่ต้องออกจากแอปฯ เหล่านั้น ยกตัวอย่างให้เห็นภาพก็เช่นการชอปปิงบน Shopee และ Lazada นั่นเอง
โดยโลกปัจจุบันถูกอีโวลต์ขึ้นอีกระดับด้วยการมีเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ (AI) เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวก และลดทอนความซับซ้อนในการทำงาน กระทั่งเกิดการพัฒนาเข้ากับบริการต่างๆ มากมาย เฉพาะอย่างยิ่งกับธุรกิจที่นำเอไอเข้าใช้ในการทำการตลาดแบบ Hyper-personalization ซึ่งเป็นการใช้ Big Data มาผสานกับเอไอ ในการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าเชิงลึกเฉพาะบุคคล หรือแม้แต่การใช้เทคโนโลยี Digital Twin เข้ามาช่วยจำลองสถานการณ์ เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ พร้FFอมคาดการณ์พฤติกรรม เพื่อนำเสนอสินค้า บริการ หรือโปรโมชันที่ตอบโจทย์อย่างตรงจุดมากที่สุด เช่นเดียวกับฝั่งธนาคาร โดยคุณสุทธิพงศ์ กนกากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เทคเอกซ์ จำกัด (SCB TechX) และ บริษัท เอสซีบี เดต้า เอกซ์ จำกัด (SCB DataX) เล่าว่าทาง SCB เองก็มี DataX ที่เปรียบเสมือนศูนย์กลางในการรวบรวม วิเคราะห์ และจัดการข้อมูลทั้งหมดของกลุ่ม SCBX โดยใช้เทคโนโลยี Big Data, Data Science และ AI/ML เพื่อสร้างเป็น Group Data Platform ให้บริษัทในเครือสามารถนำข้อมูลไปใช้ในการรังสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ที่ตรงต่อความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดๆ ก็เช่นการนำข้อมูลการทำธุรกรรมมาใช้ในการประเมิน Credit Score เพื่ออนุมัติวงเงินพิเศษในบัตรเครดิตให้กับลูกค้า เป็นต้น


